รายงานย่อการเสวนาในหัวข้อ “จากห้องเรียนศิลปะเก่าสู่ห้องเรียนออนไลน์กับการดำรงอยู่ของการวิจารณ์”

 

“จากห้องเรียนศิลปะเก่าสู่ห้องเรียนออนไลน์กับการดำรงอยู่ของการวิจารณ์”

                                                                                                                                                                            DSC_0022

                                                                                                                                                                                                           อรพินท์  คำสอน

                      ในช่วงเย็นถึงค่ำในวันเสาร์ที่ 10  สิงหาคม 2556  ที่ The Reading Room  ผู้เขียนมีโอกาสไปร่วมฟังเสวนาหัวข้อ “จากห้องเรียนศิลปะเก่าสู่ห้องเรียนออนไลน์กับการดำรงอยู่ของการวิจารณ์” ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของโครงการวิจัย “การวิจารณ์ศิลปะ: รอยต่อระหว่างวัฒนธรรมสื่อสิ่งพิมพ์กับสื่ออินเทอร์เน็ต”  โดยมีวิทยากรร่วมอภิปราย  3 คน คือ ผศ.ดร. เถกิง พัฒโนภาษ  ภาควิชาออกแบบอุตสาหกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ผศ. ชัยยศ อิษฎ์วรพันธ์  คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร  และอาจารย์นิพันธ์  โอฬารนิเวศน์   ภาควิชาทัศนศิลป์  คณะศิลปกรรมศาสตร์  มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และดำเนินรายการโดย อาจารย์วันทนีย์  ศิริพัฒนานันทกูร  คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 

จากประสบการณ์การวิจารณ์งานของนิสิตนักศึกษาในชั้นเรียน   ทำให้วิทยากรทั้งสามคนเห็นข้อจำกัดและความแตกต่างระหว่างการวิจารณ์ในชั้นเรียนกับการเปิดกลุ่มวิจารณ์ในสื่ออินเทอร์เน็ตว่ามีหลายสาเหตุ  ประการแรก  คือ  การลดบรรยากาศความเครียดระหว่างกัน    เพราะการวิจารณ์กันโดยตรงอาจทำให้รู้สึกอึดอัด ทำให้ไม่กล้าที่จะพูดอะไร  ซึ่งต่างจากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในโลกอินเทอร์เน็ต   ประการที่สองคือ  การช่วยตอกย้ำข้อมูล  เพราะผู้สอนช่วยนิสิตนักศึกษาด้วยการสรุปประเด็นการสอนของตนลงเผยแพร่ในสื่อสังคม  ประการที่สาม คือ การให้คำปรึกษา  แนะนำ หรือกระตุ้นให้ทำงาน  โดยที่ในบางรายวิชาได้มีการจัดตั้ง “กลุ่ม” ออนไลน์  สำหรับให้คำปรึกษาหรือให้คำแนะนำนิสิตนักศึกษานอกเวลาเรียน  และประการสุดท้าย คือ การให้ข้อมูลในเชิงองค์ความรู้   เพราะการเสวนากันในกลุ่มชั้นเรียนศิลปะบางกลุ่มมีร่องรอยหรือมีลิงก์ต่างๆ ที่สามารถจะตามเข้าไปหาความรู้เพิ่มเติมได้   อย่างไรก็ดี  วิทยากรต่างยอมรับว่าสำหรับการเกิดกลุ่ม (group) ในเฟซบุ๊กที่ทำอยู่ในขณะนี้ยังมีความเสี่ยงอยู่   ไม่อาจเรียกว่าได้ผลทั้งหมด  อย่างไรก็ดี  สิ่งหนึ่งในด้านของการวิจารณ์ที่พยายามสอนนิสิตนักศึกษาอยู่ตลอดเวลาคือ  ไม่มีครูคนใดสอนได้หมด  และสิ่งที่พยายามสอนลูกศิษย์คือการกระตุ้นให้ช่างสงสัย  รู้จักหาข้อมูล   สนใจไปหาเองจริงๆ  ท้ายที่สุดแล้วสามารถเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ ด้วยตนเอง  เพราะไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ว่าจะเชื่อมโยงกันอย่างไร  เนื่องจากเงื่อนไขของแต่ละคนต่างกัน

การเสวนาในครั้งนี้มิได้กล่าวถึงเฉพาะในประเด็นการวิจารณ์ในชั้นเรียนและการเปิดกลุ่มวิจารณ์ในอินเทอร์เน็ตเท่านั้น  แต่ยังมีการกล่าวถึงประเด็นที่น่าสนใจในวงการศิลปะและการวิจารณ์ศิลปะในหลากหลายประเด็น  ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพและปริมาณการวิจารณ์ศิลปะในสื่อลายลักษณ์ของสังคมไทย  วิทยากรเห็นว่าคุณภาพของการวิจารณ์ศิลปะลดลง  เนื่องจากวงการศิลปะของไทยมีขนาดไม่ใหญ่นัก  ผู้ที่เขียนวิจารณ์ส่วนใหญ่มักรู้จักกับศิลปินเป็นการส่วนตัว  จึงเลือกเขียนวิจารณ์แง่บวกมากกว่าแง่ลบ  และมีการพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกันทางความคิดกัน  ซึ่งต่างจากในอดีต   ขณะเดียวกันการวิจารณ์ศิลปะยังขาดหรือไม่มี “ศัตรูในจินตนาการ”  ในความหมายของกระแสและแนวคิดทางศิลปะที่ชวนให้ต้องวิพากษ์และต่อต้าน  ซึ่งอาจจะเป็นแรงกระตุ้นที่จะทำให้เกิดการวิจารณ์ได้เป็นอย่างดี  แต่ในแวดวงศิลปะไทยมีแต่ศัตรูที่มีตัวตนจริง  ความขัดแย้งจึงมิใช่ความขัดแย้งทางปัญญาความคิด  แต่เป็นความขัดแย้งส่วนตัว   ในขณะที่นักวิจารณ์ศิลปะในต่างประเทศบางประทศจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มาก เช่น นักวิจารณ์ศิลปะใน The New York Times   แต่ในสังคมไทยกลับมีการส่งผู้ที่อ่อนอาวุโสที่สุดไป “ทำข่าว” ศิลปะ  จึงไม่ก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างมีสาระ  ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังเกิดปรากฏการณ์ของการวิจารณ์ศิลปะในสื่อสิ่งพิมพ์ที่น่าสนใจอยู่บ้าง เช่น การมีบทวิจารณ์ศิลปะที่เข้มข้นจริงจังในนิตยสารอ่าน  และมี “แฟน” ที่ติดตามและชื่นชอบจำนวนหนึ่ง   ซึ่งน่าติดตามต่อไปว่าผลผลิตที่เกิดจากการอ่านนิตยสารในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบในรูปแบบใดบ้างหรือไม่  

สำหรับการวิจารณ์และการแสดงความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ตและใน “สื่อสังคม” (social network)  นั้น  วิทยากรทุกคนเห็นพ้องกันว่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล  เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นเวทีใหญ่สำหรับผู้วิจารณ์ศิลปะ “หน้าใหม่”  ซึ่งพบว่ามีงานดีๆ เป็นจำนวนไม่น้อย  และด้วยมิติพิเศษของสื่ออินเทอร์เน็ต คือ “ไฮเปอร์เท็กซ์” (hypertext)  และ“เรียลไทม์” (real time)   ซึ่งคุณสมบัตินี้เองอาจช่วยให้ “ศัตรูในจิตนาการ”  ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น  เพราะอินเทอร์เน็ตมีศักยภาพกระตุ้นให้เกิดการวิจารณ์ซ้อนวิจารณ์ที่สูงมาก  แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่ค่อยพบในสังคมไทย  นอกจากนี้การวิจารณ์ศิลปะในปัจจุบันยังมี “ลำดับศักดิ์”  ซึ่งบทวิจารณ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์นับว่ามีศักดิ์สูงกว่าบทวิจารณ์ที่เผยแพร่ในสื่ออินเทอร์เน็ต  แต่เชื่อว่าในอนาคต “ลำดับศักดิ์” เหล่านี้จะลดลงอย่างแน่นอน  ทั้งนี้เพราะการก่อร่างสร้างตัวในโลกของอินเทอร์เน็ตเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว   จนทำให้บางคน “หล่อข้ามคืน” หรือมีชื่อเสียงในเวลาอันรวดเร็ว  ซึ่งต่างจากในระบบของสื่อสิ่งพิมพ์ที่ต้องอาศัยเวลา  ทั้งเวลาในการเสพงาน  เวลาในการแสวงหาความรู้  เวลาในการกลั่นกรอง   และเวลาของการสร้างเนื้อสร้างตัวที่นานกว่าจะได้โอกาสตีพิมพ์เผยแพร่งานวิจารณ์  ซึ่งอาจมิใช่อาศัยฝีมือเพียงอย่างเดียว  แต่ขึ้นอยู่กับทัศนคติของบรรณาธิการด้วย

ในแง่ที่ว่าการเรียนการสอนวิจารณ์ศิลปะส่งผลต่อการสร้างนักวิจารณ์อาชีพหรือไม่  อย่างไรนั้น  วิทยากรบางคนเห็นว่าการวิจารณ์ศิลปะดีขึ้น  เพราะมีหลักสูตรและอาจารย์สอนการวิจารณ์ศิลปะอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม  มีนักศึกษาบางคนที่มีศักยภาพในการวิจารณ์ที่สูงมาก  แต่ต้องไปประกอบอาชีพอื่นแทน   เพราะการเขียนวิจารณ์ได้ค่าตอบแทนไม่พอเลี้ยงชีพ  หากมีนิตยสารมากขึ้น  นักศึกษาก็สามารถออกไปประกอบอาชีพเป็นนักวิจารณ์ศิลปะได้มากขึ้น   ในอีกแง่หนึ่ง  หากจะเผยแพร่งานวิจารณ์ในสื่ออินเทอร์เน็ตแต่เพียงอย่างเดียวก็ยังไม่จะสามารถที่จะทำงานวิจารณ์ที่มีคุณภาพในวงการศิลปะได้  เพราะในสังคมไทยยังมีกรอบเรื่อง “การเกรงใจผู้ใหญ่” อยู่มาก  ในขณะที่วงการวิจารณ์ภาพยนตร์และวรรณกรรมก้าวหน้าไปไกลกว่านี้มาก  ผู้เขียนเห็นว่าในประเด็นนี้อาจต้องพิสูจน์กันต่อไป  โดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพ 

สำหรับประเด็นเกี่ยวกับวงการศิลปะนั้น   วิทยากรตั้งข้อสังเกตว่าวงการของไทยไม่ใส่ใจที่จะสร้างมโนทัศน์ (concepts) หรือแม้แต่ศัพท์แสง (vocabulary) ที่สามารถอธิบายความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ของศิลปะได้  ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรปรับแก้  ศิลปะของไทยในยุคปัจจุบันได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศิลปะตะวันตก ในขณะเดียวกันการรับรู้ประสบการณ์จากต่างประเทศส่วนใหญ่จะได้รับเฉพาะแรงกระตุ้น โดยผู้รับไม่ได้สัมผัสกับต้นแบบทั้งหมดอย่างถูกต้องแท้จริง    จึงไม่เป็นไปในลักษณะของการสัมผัสตัวงาน  แม้แต่ในรูปของการผลิตซ้ำ (reproduction)  สำหรับการรับรู้ความเคลื่อนไหวในด้านการวิจารณ์และทฤษฎีศิลปะยังไม่มีความชัดเจนว่าก้าวหน้าไปเพียงใดหรือไม่

ทั้งนี้อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่น่าจะนำไปสู่ “วัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์” ที่แข็งแกร่งนั้นยังมองไม่เห็นชัด  โอกาสใหม่ที่โลกอินเทอร์เน็ตเปิดให้ทำให้เกิดงานวิจารณ์ที่มีคุณภาพเป็นรายๆ หรือเป็นครั้งคราว  งานบางชิ้นคุณภาพสูงมาก  แต่ยังไม่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่มีเอกภาพและยังขาดความหนักแน่น  ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนคือ  ปัจจัยของเวลา  ซึ่งหมายถึงความรวดเร็วของการสื่อความเชิงวิจารณ์  การแลกเปลี่ยนทัศนะวิจารณ์ และการรับรู้โดยทั่วไป  อย่างไรก็ดี  การวิจารณ์ต้องไม่ได้ปรารถนาเพียงเพื่อมุ่งสร้างความเจ็บปวด  และจากประสบการณ์ของต่างประเทศพบว่า  ศิลปินต่างประเทศที่ดีและเข้าใจที่จะพัฒนาตนเองได้อย่างไม่หยุดยั้ง  มักเป็นผู้รู้จักใช้ประโยชน์จากคำวิจารณ์อยู่ตลอดเวลา  จึงถือได้ว่าการวิจารณ์เป็นวัฒนธรรมที่ต้องพัฒนาต่อไป

วิทยากรทั้ง 3 ท่านเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมีความสามารถในการแสดงออกด้วยภาษาสูงมาก  ทั้งชัดเจนและลึกซึ้ง  มีการให้ความเปรียบอย่างเหมาะสม และให้ตัวอย่างจากประสบการณ์จริงที่ชวนคิด  อีกทั้งมีประสบการณ์จากทั้งโลกตะวันตกและตะวันออก  โดยเฉพาะประสบการณ์จากญี่ปุ่นน่าสนใจยิ่ง อาทิ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเทชิมะ  (Teshima Art Museum)  ภาพยนตร์เรื่อง “Nemuru  otoko” หรือ “Sleeping Man”  และ งานเก่าของทะดะโอะ  อันโด (Tadao Ando)    วิทยากรดูจะเล็งเห็นความสำคัญของการวิจัยที่โครงการฯ ได้ทำต่อเนื่องมา  จึงรับเชิญและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี  สามารถให้ข้อมูลที่มีเนื้อหาสาระสูง  นอกจากนี้  วิทยากรแต่ละคนยังมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของทฤษฎีศิลป์อย่างลึกซึ้ง  แต่ก็มิได้อ้างทฤษฎีในแบบการบอกเล่าหรือท่องบ่นทฤษฎีของนักคิดตะวันตกคนนั้นคนนี้  หากแต่มีจุดยืนของตน  จึงสามารถแสดงความคิดเห็นต่อชิ้นงานศิลปะและศิลปกรรมโดยทั่วไปได้อย่างหนักแน่น   ซึ่งประสบการณ์ดังกล่าวช่วยอธิบายและขยายพรมแดนความรู้ให้กับผู้ฟังได้เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ผู้ฟังที่เป็นคนนอกวงการศิลปะสามารถเข้าใจสิ่งที่วิทยากรนำมาอภิปรายได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม

จะขอยกคำกล่าวสรุปการเสวนาในช่วงท้ายของศาสตราจารย์ ดร. เจตนา  นาควัชระ ที่แสดงความรู้สึกที่ได้ฟังการเสวนาในวันนี้  โดยขออนุญาตนำประสบการณ์จากวงการดนตรีมาใช้ด้วยการอ้างคำพูดของนักไวโอลินของโลก Lord Yehudi Menuhin  ที่กล่าวถึงนักไวโอลินเอกชาวรัสเซียคือ David Oistrakh ว่า “I would have loved to study with him” ซึ่งอาจารย์เจตนาก็คิดในทำนองเดียวกันว่า อยากจะได้มีโอกาสได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ทั้งสามท่านนี้

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *