อ่านหนังสือคือความรื่นรมย์

 อ่านหนังสือคือความรื่นรมย์

 

 

                                                                                       อรพินท์ คำสอน

 

 

ช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2555  มีการ เสวนา “อ่านหนังสือคือความรื่นรมย์” ณ  สนามหญ้า หน้าศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร    ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Friends of the library ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 – 9 มิถุนายนนี้   การเสวนาในครั้งนี้นับเป็นการแสดงทัศนะเกี่ยวกับการอ่านจากมุมมองของผู้ที่เป็นทั้งนักอ่านและนักเขียน  คือ คุณชมัยภร  แสงกระจ่าง (อดีตนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย)  และคุณเจน  สงสมพันธุ์  (นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย) ดำเนินรายการโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์สุวรรณา  เกรียงไกรเพ็ชร์  (ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร) การเสวนาในครั้งนี้มีมุมมองที่น่าสนใจดังนี้

 

คุณชมัยภร  แสงกระจ่างเห็นว่าการอ่านคือความรื่นรมย์  เพราะขณะอ่านหนังสือ  ผู้อ่านได้สร้างโลกของตนเฉพาะขึ้นมาจากจินตนาการและตีความตัวอักษรที่ได้อ่านตามแต่ประสบการณ์เฉพาะตน  ซึ่งภาพในจินตนาการของผู้อ่านแต่ละคนขณะที่อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน  อาจจะได้ภาพที่หลากหลายต่างกันก็เป็นได้  แต่ถ้าผู้เขียนเป็นผู้ที่มีความสามารถก็จะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพที่ใกล้เคียงกับภาพที่ตนต้องการเสนอให้ได้มากที่สุด  ดังนั้น  การอ่านคือความรื่นรมย์ในโลกเงียบๆ ของตน

          แต่คุณเจน  สมสงพันธุ์ มีความเห็นต่างออกไปว่า  ขณะอ่านหนังสือไม่จำเป็นต้องอ่านเงียบๆ ก็ได้  เพราะว่าหนังสือแต่ละเล่มก็มีเสียงของตัวเองด้วย  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนังสือสำหรับเด็กเล็กๆ ขณะที่ยังอ่านหนังสือไม่ออกหรือเริ่มอ่านได้บ้าง  ก็อาศัยการฟังพ่อแม่หรือครูอ่านให้ฟัง  ซึ่งเสียงที่ได้ยินเหล่านั้นก็ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำและประทับในความรู้สึก  แม้ว่าเด็กเหล่านั้นจะเติบโตขึ้นแล้วก็ตาม และความรื่นรมย์ยังเกิดจากเนื้อหาที่กระทบใจและสามารถตีความได้ด้วยประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน นอกจากนี้  คุณเจนยังเล่าประสบการณ์ในวัยเด็กที่เติบโตขึ้นมาในสมัยที่ยังมีการอ่านอาขยาน  เพลงกล่อมเด็ก ลิเก  ละครวิทยุ เพลงลูกทุ่ง  ลูกกรุง และเครื่องเล่นแผ่นเสียง  ก็นับเป็นการอ่านหนังสือผ่านการฟังเสียง  ซึ่งนับว่าเป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน   ด้วยเหตุนี้  ความรื่นรมย์ในชีวิตจึงเกิดได้ทั้งมิติของการอ่าน และการฟัง (การอ่านออกเสียง)  ทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า ในสมัยก่อนคนนิยมอ่านหนังสือ ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ในสังคมยังมีการศึกษาน้อยอยู่

ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุวรรณา  เกรียงไกรเพ็ชร์  ถามว่าเนื้อหาที่ทำให้เกิดความรื่นรมย์เป็นเนื้อหาแบบใด และจำกัดที่รูปแบบหรือเนื้อหาบางอย่างหรือไม่   คุณชมัยภรตอบว่าไม่มีการจำกัดเนื้อหา  และความรื่นรมย์นั้นไม่ได้หมายความว่าทำให้ผู้อ่านหัวเราะขณะที่อ่านเท่านั้น   แต่ความรื่นรมย์ในที่นี้คือ เรื่องที่อ่านนั้นไปสนองจิตใจของผู้อ่าน  ทำให้จิตใจฟูเต็มด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ได้จากหนังสือเล่มนั้น  ซึ่งความอิ่มเอมที่ได้รับจากการอ่านนี้นับเป็นความรื่นรมย์   แต่หนังสือในโลกไม่ได้เป็นหนังสือที่รื่นรมย์ทุกเล่ม และความรื่นรมย์ที่ได้รับจากการอ่านก็มีหลายระดับหลากหลายแตกต่างกันไป  จึงจำเป็นต้องพิจารณาว่าหนังสือแต่ละเล่มก่อให้เกิดความรื่นรมย์เพราะเหตุใด

คุณเจนเห็นด้วยกับคุณชมัยภรที่ว่า หนังสือที่ไม่ได้ก่อให้เกิดความรื่นรมย์ทุกเล่ม  แต่ผู้อ่านจะรู้สึกรื่นรมย์ได้ก็เพราะเนื้อหาในหนังสือ หรือว่าหนังสือเล่มนั้นเปล่งเสียงด้วยภาษาที่สวยงาม  ซึ่งก็นำไปสู่ความรื่นรมย์ได้   นอกจากนี้ยังเห็นว่างานวิชาการบางครั้งก็นำไปสู่ความรื่นรมย์ได้  หากเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้นๆ สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของผู้อ่าน  หรือเนื้อหาช่วยให้ผู้อ่านแสวงหาคำตอบหรือเฉลยปัญหาบางอย่างได้

อาจารย์สุวรรณาอยากทราบว่าขณะที่นักเขียนเขียนงานของตนมีความรื่นรมย์หรือไม่  และหนังสือประเภทใดที่เขียนได้อย่างรื่นรมย์  คุณชมัยภรตอบว่าโดยส่วนตัวจะเขียนในสิ่งที่อยากเขียน  จึงทำให้เกิดความสุขและความรื่นรมย์ในการเขียน  หากงานชิ้นใดเขียนแล้วเกิดความทุกข์ก็เท่ากับว่างานเขียนชิ้นนั้นเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นแล้ว  ก็ต้องแสวงหาทางแก้ เพื่อให้กลับมาเขียนหนังสือด้วยความรื่นรมย์ต่อไปให้ได้   ในขณะที่อ่านงานเขียนของนักเขียนคนอื่นก็จะได้เห็นกระบวนการเขียนของนักเขียนคนนั้นๆ ด้วย   เช่น ขณะอ่านเรื่อง “พี่กับน้อง” ของ หยูหัว  นักเขียนชาวจีน  แม้ว่าเรื่องราวบางตอนจะนำเสนอภาพที่น่าเกลียดไม่ชวนอ่าน  แต่เมื่ออ่านจบก็พบว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักเขียนจึงต้องสะท้อนภาพที่น่าเกลียดเล่านั้นออกมา   จึงถือว่าเป็นโชคดีในขณะที่อ่าน  เพราะเกิดความรื่นรมย์ทั้งในฐานของนักเขียนและในฐานะของนักอ่าน   ในฐานะของนักเขียน  คุณเจนเห็นว่าก่อนที่จะเริ่มเขียนนักเขียนต้องสนุกที่จะเขียนก่อน  และสิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือ  ความสนุกของเรา  คนอื่นเขาจะสนุกด้วยหรือไม่  ขณะเดียวกันก็ต้องหาคิดวิธีว่าจะเขียนอย่างไรให้สนุกด้วย

อาจารย์สุวรรณาตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดบางคนจึงอ่านหนังสือเรื่องเดิมซ้ำบ่อยๆ  คุณเจนเห็นว่าคนจะประทับใจหนังสือในแต่ละช่วงเวลา  จึงอาจกล่าวได้ว่าความรื่นรมย์มีช่วงเวลา  โดยส่วนตัวหนังสืออ่านซ้ำคือ “100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว” ของ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ  และขณะที่อ่านแต่ละครั้งก็จะพบประเด็นบางอย่างที่ต่างกันไป  หรือว่าบางครั้งก็ต้องการอ่านเพื่อค้นหาอะไรบางอย่างจากในหนังสือ  เช่น  ครั้งหนึ่งอ่านเพื่อค้นหาว่า มาร์เกซ เขียนถึง เช กูวารา  นักปฏิวัติในโบวิเลียน ไว้อย่างไร  หรือบางครั้งก็กลับไปอ่านเรื่องสั้นเก่าๆ

คุณชมัยภรเห็นว่าหนังสือที่คนมักจะอ่านซ้ำส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือที่อ่านแล้วมีความสุขขณะที่อ่าน  โดยเฉพาะหนังสือที่อ่านในวัยเด็ก  โดยส่วนตัวหนังสือที่มักจะอ่านซ้ำ   เช่น เรื่องสั้นเรื่อง ”แก้วตา” ของแม่อนงค์  เพราะเป็นเรื่องแรกที่อ่านแล้วแม่เลี้ยงเป็นคนดี จึงประทับใจ  หรือเรื่อง “ความสุขของชีวิต” ถึงแม้จะเป็นเรื่องเศร้า  แต่ก็ไม่เหี้ยม  หรือ “นันทวัน” นิยายรักของดอกไม้สด และเรื่อง “คนปลูกป่า”  ของ ฌ็อง ฌิโอโน  ด้วยเหตุนี้  อาจารย์สุวรรณาจึงเห็นว่าผู้อ่านสามารถสร้างความเป็นอมตะให้กับหนังสือบางเล่มสำหรับตนเองได้

อาจารย์สุวรรณาถามคำถามสุดท้ายสำหรับการเสวนาวันนี้ว่าทั้งสองท่านมีความเห็นอย่างไรกับคำพูดที่ว่า  ทุกวันนี้เด็กไม่อ่านหนังสือ  นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่เห็นความรื่นรมย์ในการอ่านใช่หรือไม่  และหนังสือกระดาษจะหายไปจากโลกนี้จริงหรือ  อาจารย์ชมัยภรเห็นว่าการที่เด็กไม่อ่านหนังสือส่วนหนึ่งเป็นความผิดของผู้ใหญ่  เพราะผู้ใหญ่ไม่ได้สร้างสิ่งแวดล้อมในการอ่านให้กับเด็ก  และยังเห็นว่าการที่เด็กอ่านหนังสือไม่ว่าจะเริ่มอ่านจากหนังสือการ์ตูนหรือหนังสืออะไร ก็ดีทั้งนั้น  เพราะเชื่อว่าเมื่อเด็กเริ่มจากการอ่านการ์ตูน  ต่อไปเขาจะขยับไปอ่านหนังสือเล่ม  รวมถึงหนังสือ e- book ดีๆ ได้เอง  แต่ขณะนี้คงต้องคิดกันว่าจะทำอย่างไรให้หนังสือคุณภาพมีทั้งในรูปร้อยแก้ว  การ์ตูน และ e-book เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเลือกอ่านได้ตามวาระและความพอใจของแต่ละคน

คุณเจนตอบคำถามในเรื่อง e-book ว่า e-book  นับเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง  ในขณะนี้เรายังไม่รู้ว่าความลงตัวของ e-book อยู่ที่ใด  และคงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งที่จะบอกได้ว่า e-book มาจะมาแทนหนังสือเล่มได้จริงหรือ  โดยส่วนตัวเห็นว่า e-book จะมาแทนหนังสือเล่มได้ถ้ามีความคงทนในระดับหนึ่ง  แพร่กระจายไปได้มาก และราคาถูก   ทั้งนี้เห็นว่าสิ่งที่สังคมไทยขาดจริงๆ ในขณะนี้คือ ขาดต้นธารการเล่าเรื่องที่ดี  จึงควรมีการพัฒนาวิธีการเล่าเรื่องที่ดีและให้สวยงามก่อน เพราะหากการเล่าเรื่องไม่ดีแล้ว  หนังสือจะแพร่หลายได้อย่างไร

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *